“จิตอ่อนล้า” มักจะเป็นอาการต่อเนื่องมาจากการที่ร่างกายของเรารู้สึกอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง อาจจะเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการทำงานที่หนักจนเกินไป ไม่เว้นถึงการต่อสู้กับปัญหารอบด้าน
ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าผู้หญิงเราจะอยากนั่งเงียบ ๆ เพื่อคิดอะไรบางอย่างหรือกลายเป็นคนขี้เกียจไปชั่วขณะ เพราะบางเวลาการรับมือกับเรื่องหนัก ๆ ไม่ใช่เพียงร่างกายอย่างเดียวที่จะรับมันไม่ไหว จิตใจข้างในก็มีโอกาสเหนื่อยล้าและหยุดชะงักได้เช่นกัน หากเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกสูญเสียความอดทนอดกลั้นกับเรื่องบางอย่าง เริ่มที่จะควบคุมการแสดงอการไม่ได้มาก นั่นก็สามารถทำให้เห็นได้ว่าจิตใจของคุณเริ่มจะหมดแรงแล้วจริง ๆ งั้นเรามาดูกันว่าสัญญาณเตือนอาการเหล่านี้มีอะไรกันบ้าง
8 สัญญาณเตือนความอ่อนล้าของจิตใจ
1. ความกระสับกระส่ายที่เป็นความทรมานจากอาการนอนไม่หลับ จนทำให้คุณต้องใช้เวลาในตอนกลางคืนหลายชั่วโมงกว่าที่จะหลับตาและสมองปิดการทำงาน
2. รู้สึกหงุดหงิดง่าย เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกรำคาญง่าย ๆ กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยรู้สึกกับมันมาก่อน นั่นแปลว่าเริ่มมีสัญญาณที่ไม่ดีเกี่ยวกับการสูญเสียพลังงานของเรา
3. ความวิตกกังวลจากการการถูกโจมตีจากสิ่งเร้ารอบตัว เป็นการแสดงให้เห็นถึงความต้องการดูแลความรู้สึกเป็นพิเศษในทันทีทันใด
4. รู้สึกไม่มีแรงจูงใจ นั่นคิดกันง่าย ๆ มันเหมือนกับเรากำลังจมอยู่กับชีวิตที่ไม่ไปทางใดทางหนึ่ง รู้สึกไม่มีแรงผลักดันที่จะทำบางสิ่งต่อไป
5. รู้สึกถึงความเจ็บป่วยโดยเฉพาะปัญหาภายในท้องของเรา เมื่อสุขภาพจิตของเรามันเริ่มจะต้องได้รับการซ่อมแซม เราสามารถรู้ได้จากอาการเจ็บป่วยในส่วนท้องของเราที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน
6. เราร้องไห้ด้วยความรู้สึกที่หดหู่ไม่อยากทำอะไรเลย
7. ความรู้สึกโดดเดี่ยว โรคซึมเศร้าอยู่ไม่ไกลตัวเราเลยหากเรารู้สึกแบบนี้ เพราะเราไม่เชื่อใจกับสิ่งที่เป็นความจริงตรงหน้า
8. สูญเสียความอดทน เพราะหมดกำลังใจที่จะทำอะไร และไม่ต้องการฟังความคิดเห็นของใครอีกต่อไป ทุกอย่างรอบตัวเป็นความตึงเครียดและน่าเบื่อ
10 วิธีรักษาพลังงานดี ๆ ในตัวเรากันดีกว่ามีอะไรบ้างมาดูเลย
1.นอนหลับให้เต็มอิ่ม
การนอนหลับเป็นการที่เราปิดสวิตซ์ร่างกายทั้งหมดพร้อมกัน นั่นหมายความว่าอวัยวะจะหยุดทำงาน และสมองก็จะได้รับการพักผ่อน เน้นว่าให้มีการนอนหลับในจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสม และให้เป็นชั่วโมงแห่งการรีแลกซ์อย่างแท้จริง
2.สร้างกิจวัตรการทำ
Build routines การสร้างสิ่งที่เราต้องทำให้เป็นนิสัยจนเคยชิน เริ่มตั้งแต่การลืมตาและเมื่อเท้าของคุณแตะพื้น เมื่อไหร่ที่เราทำมันจนชิน เราจะรู้สึกได้เลยว่าไม่ต้องใช้พลังงานในการคิดเพื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างอีกต่อไป สมองจะโล่งและจิตใจเราจะผ่อนคลายมากขึ้น
3.ทำทีละอย่าง
การที่เราทำงานหลายอย่างพร้อมกันมันไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนฉลาดและเก่ง แต่เรากำลังจะเป็นคนที่ไร้สาระ ไม่ประสบความสำเร็จต่างหาก เพราะคนเราจะไม่สามารถ concentrated มากกว่าหนึ่งอย่างในเวลาเดียวกัน ต่อให้เราลองทำพร้อมกัน รับรองว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่ดีเลย
ให้เลือกให้พลังงานในทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เสร็จ ตรวจสอบผลลัพธ์เมื่อครบถ้วนสมบูรณ์ค่อยย้ายพลังงานของเราไปทำงานยังภารกิจต่อไป ลองนึกภาพตามว่าเราไม่สามารถกินข้าวและเข้าห้องน้ำในเวลาเดียวกันจริงมั้ย
4.กำหนดให้ตัวเองได้หยุดพัก
การหยุดพักไม่จำเป็นต้องเป็นการพักร้อน vacations ไม่จำเป็นขนาดนั้น การหยุดพักมันเป็นการหยุดคิดปัญหาหนัก ๆ หรือหยุดกังวลเรื่องหนักบางอย่างไปชั่วขณะหนึ่ง การได้นั่งนิ่ง ๆ สักพักในขณะที่กำลังปั่นป่วนกับงานก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนและสามารถเพิ่มพลังได้เช่นกัน
5.ออกกำลังกายบ้าง
แน่นอนว่าการออกกำลังกายมันเป็นสิ่งที่ดีและหลาย ๆ คนก็ได้ทำเป็นประจำ แต่การออกกำลังการก็จะมีการกำหนดจุดที่เราต้องการแข็งแรงเป็นพิเศษ ดังนั้น จิตใจของเราก็เช่นกัน เป็นส่วนที่ค่อนข้างอ่อนไหวดังนั้นวิธีการออกกำลังกายจึงมีท่วงท่ารูปแบบที่ไม่ซับซ้อน แต่สามารถช่วยทำให้ส่งผลต่อความผ่อนคลายสมองของเราได้อย่างดีเยี่ยม
6.กินอย่างฉลาด
ไม่ได้หมายถึงต้องจัดเซ็ทเพื่อสุขภาพกันขนาดนั้น มันมีวิธีที่ง่ายนิดเดียวพยายามทานอาหารที่ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป และอาหารที่ย่อยยาก โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาล ความหวานฆ่าคนได้เชื่อมั้ย บางครั้งการจะรับประทานอาหารก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้สติในการคัดและเลือกอาหารที่เหมาะกับเราในการทำภารกิจในเวลานั้น
7.ตัดสิ่งที่ไม่สำคัญกับชีวิตออก
รู้ไหมว่าพลังงานในจิตใจของเรา ๆ นั้นมันมีขีดจำกัดอยู่นะ ไม่ได้หมายความว่าสภาพจิตเราจะรับความหนักได้ตลอดเวลา ดังนั้น สมองของเราควรจะเก็บเอาไว้เฉพาะสิ่งที่สำคัญกับชีวิตเราเท่านั้นพอ โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ ๆ ในชีวิตเรา มันไม่มีประโยชน์ใด ๆ หากเราจะเก็บเอาเรื่องขยะเล็ก ๆ น้อยมาสะกิดให้จิตใจเราต้องเศร้าหมอง หรือรู้สึกเสียเวลาและไม่คุ้มค่า เช่น เริ่มมีผมสีขาวแต่ไม่กี่เส้น หรือแม้กระทั่งอยากกินแบบนี้แต่ได้มาอีกแบบ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คอขาดบาดตาย ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนทดแทนกันได้ตลอดเวลา
ดังนั้น ให้เลือกความสำคัญชิ้นใหญ่ หยุดใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ เพื่อให้สมองมีพื้นที่ว่างสำหรับเก็บเกี่ยวสิ่งที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น และมีสภาพจิตใจที่แข็งแรง
8.ฝึกจัดตารางเวลาการทำงานก่อนเข้านอน
การที่เรามีการจัดเตรียม หรือเตรียมตัวเองกับการทำทุกอย่างล่วงหน้าเป็นสิ่งที่ดีมากและควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันจะสร้างผลลัพธ์ที่เยี่ยม เพราะมันเหมือนเราเป็นผู้ล่วงรู้ดูมีพลังอำนาจสามารถเห็นสิ่งที่จะได้รับในวันต่อไปเมื่อเราลืมตาตื่นนอน เพราะทุกอย่างถูกวางแผนด้วยเราไว้เรียบร้อยแล้ว เพอร์เฟค!
9.หาคนช่วย
ในขณะที่เรากำลังต้องทำภารกิจบางอย่าง เราอาจมองหาผู้ช่วยดี ๆ สักคนที่จะคอยช่วยเราหยิบจับหรือทำงานเล็ก ๆ ในเวลาที่เราไม่สามารถขยับตัวเองไปทำสิ่งเหล่านั้นได้ การมองหาผู้ช่วยมันก็ไม่ได้ทำให้เราดูเอาเปรียบคนอื่น แต่มันจะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น เพื่อน ลูก หรือพี่น้อง คนรอบข้างที่เราคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเต็มใจที่จะช่วยเราในการหยิบทำสิ่งเล็ก ๆ น้อยเพื่อเราในบางเวลา อย่าลืมขอบคุณและยิ้มสวย ๆ ทุกครั้ง ที่คนเหล่านี้ทำให้คุณเรียบร้อยแล้วด้วยนะ
10.พูดคุยกับตัวเอง
การที่เรา Monitor yourself หรือ self-talk มันจะเป็นสิ่งที่ดี “เราไม่ได้บ้า” รู้ไหมว่าการทำแบบนี้มันเป็นการตรวจเช็คตัวเองถึงข้อบกพร่องเพื่อแก้ไข และภาคภูมิใจเมื่อทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี
การพูดคุยกับตัวเองด้วยความคิดในเชิงบวกเป็นการสร้างประสิทธิภาพให้ตัวเองได้ดีเยี่ยม เพราะความคิดเชิงบวกจะทำให้สภาพจิตใจภายในโล่งและมีแต่แนวคิดดี ๆ ที่จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจและครีเอทสิ่งใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี เมื่อไหร่ที่ในจิตใจเรามีแต่ความคิดในเชิงบวก การ Attraction ก็จะตามมา สวยไปอีก
นี่คือทั้งหมดกับสัญญาณเตือน และการหาทางออกกับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ให้กลับมาเข้มแข็งและมีภูมิคุ้มกันเชิงบวกได้อีกครั้ง มันไม่ยากเลยใช่ไหมที่จะเริ่มทำ อย่ารอให้สภาพจิตใจของเราต้องดิ่งจนถึงที่สุด เพราะอาการป่วยทางจิตมักจะตามมา ให้คิดอยู่เสมอว่าเมื่อใดที่เรารู้สึกหมดแรงและรู้สึกอ่อนล้าทางจิตใจ เราจงหยุดพักเพื่อเติมพลังด้วยวิธีที่บอกมาทั้งหมดนี้ ลองทำตามดู 10 วิธีนี้ช่วยเราได้อย่างแน่นอน
Credit ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ