ทำความรู้จักกับค่า pH ของผิวผู้หญิงเพื่อการดูแลที่ถูกต้อง

เมื่อชีวิตต้องมีความสมดุลจึงจะทำให้มนุษย์เราดำรงชีวิตอยู่ได้ ผิวของผู้หญิงก็เช่นกันก็ต้องมีค่าความสมดุลที่ดีจึงจะทำให้ดูสดใสแม้อยู่ในวัยที่โรยรา ดังนั้นการรักษาสมดุลจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นที่ผู้หญิงต้องเรียนรู้ และไม่ใช่เพียงการสร้างสมดุลของชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสมดุลของร่างกายอย่างผิวพรรณด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นของผู้หญิงที่สุด

และการรักษาสมดุลผิวพรรณให้ดีที่สุดคือการรักษาค่า pH หลาย ๆ คนคงไม่เข้าใจหรืออาจจะไม่เข้าใจอย่างถูกต้องนักกับเรื่องของค่า pH ไม่ว่าจะเป็น ค่า pH คืออะไร? ค่า pH เท่าไหร่ที่ผู้หญิงเราต้องรักษาไว้? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายมีค่า pH ที่เพียงพอหรือไม่? เรามีคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้ และมันจะทำให้คุณเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น

ตอบคำถามเรื่องการสร้างสมดุลของค่า pH ที่ผู้หญิงต้องมี

ค่า pH คืออะไร?

ผู้หญิงทุกคนมักจะได้ยินบ่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องของความสมดุลของค่า pH แต่ไม่รู้คำตอบที่ชัดเจนว่ามันคืออะไรแล้วทำไมต้องมี 

ในร่างกายของคนเราจำเป็นจะต้องมีค่าความเป็นกรดและด่างภายในร่างกาย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต้องมีความสมดุลกันและความสมดุลที่เหมาะสมสำหรับความเป็นกรด-ด่างของผิวจะอยู่ที่ 5.5 ซึ่งจะมีความเป็นกรดอ่อน ๆ (Acid Mantle) ที่เป็นกรดอ่อน ๆ ก็เพราะว่าเกิดจากน้ำมันจากต่อมไขมัน (Sebum) ที่ผลิตออกมาสู่ผิวหนังชั้นนอกมาผสมกับกรดแลคติกและกรดอะมิโนจากเหงื่อบนผิวหนังทำให้เกิดเป็นค่า pH ระดับ 5.5 ซึ่ง โดยค่า pH จะแตกต่างกันไปตามเพศ อายุ และส่วนต่าง ๆ

ค่า pH ทำไมต้องสมดุล และเพื่ออะไร? 

เมื่อไหร่ที่ผิวของคุณเกิดความไม่สมดุลคือการมีกรดและด่างอย่างใดอย่างหนึ่งที่มากจนเกินไป จะทำให้ผิวของคุณเกิดความบอบบางและเริ่มมีความแห้งแตก โอกาสที่เป็นไปได้ไม่ใช่เพียงแค่การใช้สกินแคร์ที่มีค่าไม่สมดุลเท่านั้น ช่วงวัยก็สำคัญ มีเอมไซน์บางชนิดที่จะส่งผลต่อคอลลาเจนที่หายไป และเมื่อไหร่ที่คุณใช้สกินแคร์ที่มีค่า  pH สูง

(อัลคาไลน์) จะสร้างความอ่อนแอให้กับผิวหนังทันทีที่ซึมเข้าผิวหนัง จนส่งให้จุลินทรีย์ที่ผิวสูงขึ้น เกิดการระคายเคืองตามมา และที่สำคัญจะส่งผลให้เกิดการเร่งการเกิดริ้วรอยและความชราจะมาก่อนเวลา 

อะไรที่มีผลกระทบต่อค่า pH ของผิวหนัง

1. อายุและช่วงเปลี่ยนแปลงของวัย

ปัจจัยหลักและเป็นกฏของธรรมชาติ เมื่อไหร่ที่คนเราเริ่มมีอายุที่มากขึ้น ระบบการทำงานภายในร่างกายของคนเราก็จะเปลี่ยนไปโดยเฉพาะผิวของผู้หญิงที่มักจะเจอปัญหามากกว่าผู้ชาย และผู้หญิงทุกคนเมื่อมีอายุที่มากขึ้นในร่างกายจะมีค่าความเป็นด่างที่มากขึ้น และผลที่ตามมาก็คือริ้วรอย ร่องผิวที่ลึกรวมไปถึงผิวที่หมองคล้ำได้ง่ายเพราะการทำงานของเม็ดสีที่ผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลง

2. การกระทบของแสงแดดที่มากเกินไป

เราไม่ได้วัดค่าแสงแดดอยู่ตลอดเวลาในขณะที่คุณต้องเจอกับแดด ในชั้นผิวของผู้หญิงเรามีกรดที่เป็นเกราะป้องกันการกระทบของแสงแดด แต่เมื่อไหร่ที่ค่าความเป็นกรดของคุณน้อยกว่าความเป็นด่าง นั่นก็คือผิวที่อ่อนแอลงและสร้างปัญหาได้ในทันทีคือ ความหมองคล้ำ สิว และจุดด่างดำ 

3. ใช้สบู่ล้างหน้า

ส่วนผสมของสบู่ส่วนใหญ่จะเป็นด่างที่ทำให้ค่า pH ของผิวคุณสูงขึ้นไปจนแทบจะแตะระดับ 9 ซึ่งมีความอันตรายมากต่อผิวโดยตรง และจะทิ้งคราบค่าความด่างไว้ทั้งในขณะใช้และหลังใช้ จึงเป็นส่วนที่สร้างอันตรายได้มากที่สุด

4. นิสัยการกินไม่เลือก

อาหารมีผลต่อร่างกายภายในโดยตรง สิ่งผิดปรกติหรือความสมบูรณ์ของร่างกายจะขึ้นอยู่กับโภชนาการเป็นหลัก เพราะในระบบการจัดการอาหารของคุณ เมื่อไหร่ที่มีการสร้างกรดมากเกินไปในร่างกายจากอาหารเช่น คาเฟอีน ยีสต์ที่พบในขนมปัง น้ำตาล แอลกอฮอลล์ รวมไปถึงธัญพืชแปลรูปทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เร่งสร้างปริมาณกรดในร่างกายทั้งนั้น

5. นิสัยส่วนตัวที่คุ้นเคย

การดูแลตัวเองของผู้หญิงบางอย่างก็ไม่ถูกต้องไปทั้งหมด กลับเป็นการทำลายความสมดุลของผิวได้ชัดเจน ต่อให้พยายามควบคุมโภชนาการของคุณแล้วก็ตาม หากคุณยังคงมีนิสัยเหล่านี้ก็แสดงว่าคุณยังไม่สามารถควบคุมค่า pH ของร่างกายได้ดีพอ

  • ใช้น้ำร้อนล้างหน้า หรืออาบน้ำ
  • ขัดผิวบ่อยและแรงเกินไป
  • การใช้น้ำยาทำความสะอาดผิวหน้าหรือผิวกายที่มีความเข้มข้นมากเกินไป
  • อาบน้ำนานทำให้ความชุ่มชื้นหายไป 

วิธีการรักษาระดับค่า pH ให้ผิวอย่างง่าย ๆ 

1. หยุดใช้สบู่และสบู่อาบน้ำที่เข้มข้นมาก

สบู่ล้างหน้าหรือสบู่อาบน้ำส่วนใหญ่มีส่วนผสมความเป็นด่างมากเกินไป หรือมีความเข้มข้นที่รุนแรงมากเกินไป เลือกใช้สกินแคร์ทำความสะอาดด้วยการดูส่วนผสม และการใช้น้ำในอุณหภูมิปรกติทำความสะอาดผิวหน้าและผิวกาย

2. Apple Cider Vinegar

ไม่น่าเชื่อน้ำส้มสายชูแบบ  Apple Cider สามารถเพิ่มค่า pH ได้ คุณสามารถใช้มันเป็นสเปรย์เพื่อ Toning ผิวแบบ Toner แทนสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารเคมี ให้คุณใช้อัตราส่วนผสม 1 : 4 Apple Cider Vinegar : น้ำสะอาด และเก็บมันไว้ในขวดสเปรย์ที่ผ่านการทำความสะอาดแล้ว สามารนำมาฉีดหลังการล้างหน้าได้

3. เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีคุณสมบัติบำรุง

ให้คุณตรวจสอบคุณสมบัติของมอยส์เจอไรเซอร์ที่คุณใช้ ให้มีระดับที่อ่อนโยนเพื่อให้เป็นการฟื้นฟูผิวและรักษาระดับ pH ที่ผิวหน้าได้อย่างสมดุลโดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุที่มากขึ้น คุณสามารถเลือกส่วนผสมเหล่านี้ โจโจบา อาร์แกน มะพร้าว และน้ำมันมะกอก เพราะส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้เป็นอย่างดีและไม่ทำลายค่า pH ที่ผิวหน้าของคุณ

4. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นกรดอย่างระมัดระวัง

กรดเรติโนอิก กรดอัลฟาและเบตาไฮดรอกซี และกรดผลไม้อะมิโนนั้นดีต่อผิวของคุณและช่วยรักษาสมดุลของกรดได้ แต่ก็ต้องพึงระวังเพราะหากใช้ไม่ถูกต้องหรือปริมาณที่มากไป ก็จะทำให้เป็นการทำลายความสมดุลของกรดในผิวของคุณไป ทำให้การป้องกันผิวแบบธรรมชาติไม่ได้ผล จนทำให้เกิดการอักเสบ ผื่นแดงและอาการแพ้ตามมา 

5. ใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดด

อย่างที่บอกไป แสงแดดเป็นผลกระทบและสร้างปัญหามากที่สุดสำหรับค่า pH เพราะแสงแดดมีความร้อนที่สามารถทะลุเข้าผิวหนังโดยตรงหากคุณไม่ป้องกัน ค่า pH ของคุณจะหายไปและยากต่อการกู้คืน ให้คุณเลือกครีมป้องกันได้ที่มีค่า SPF สูงเท่าที่จะมีได้ และไม่ควรต่ำกว่า SPH 50 PA++

6. ปรับโภชนาการส่วนตัว

คุณจำเป็นที่จะต้องรู้ก่อนว่าอาหารประเภทใดที่มีความเป็นกรดและประเภทใดที่ให้ความเป็นด่าง สำหรับอาหารที่ให้ค่าเป็นกรดจะถูกจัดอยู่ในอาหารประเภท โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมัน และสำหรับผักและผลไม้เป็นส่วนใหญ่มีความเป็นด่าง หากคุณกินบางอย่างที่มากเกินไปทำให้ค่ากรดและด่างทำลายร่างกายของคุณ เช่น การกินโปรตีนที่มากเกินไปก็จะกลายเป็นกรดยูริก หรือการกินแป้งรวมทั้งอาหารที่มากด้วยไขมันก็ทำให้เกิดคอเลสเตอรอลเป็นต้น 

ดังนั้นคุณจำเป็นที่จะต้องจัดอาหารที่ให้คุณค่ากรดและด่างสมดุล โดยไม่เน้นกินบางอย่างที่มากหรือน้อยไป และจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่สร้างกรดที่มากเกินด้วย คุณอาจจะต้องรับประทานอาหารที่ทำให้ร่างกายเป็นด่างในปริมาณมากเล็กน้อยอย่างเช่น ถั่วงอก ผัก และผลไม้ เหล่านี้เป็นต้น

การสร้างความสมดุลให้กับผิวอีกสิ่งหนึ่งนั่นก็คือการรักษาสมดุลของความเป็นกรดและด่างในร่างกายให้ดีเพื่อให้ได้ค่า pH ที่เหมาะสมด้วยการปรับอารมณ์ของตัวคุณ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณมีความรู้สึกมีความสุข อารมณ์ดี จะทำให้ร่างกายของคุณมีค่าที่เป็นด่างมากขึ้น การดูแลร่างกายอาหารอย่างเดียวบางครั้งก็ไม่สมบูรณ์ดังนั้นต้องสร้างสุขภาพจิตที่ดีให้ได้ด้วย